ทำไมเราควรต้องต้องเริ่มลงทุน?

วันนี้แอดหยิบยกประเด็นแรกที่เราต้องเจอ…เมื่อเรากำลังตัดสินใจว่าเราจะก้าวข้ามกำแพงของโลกการลงทุน

ในสมัยก่อนเราอาจเคยได้ยินคำว่า “ตั้งใจทำงานเก็บเงินนะลูกจะได้ ไม่ลำบาก”

คำดังกล่าวเป็นคำแนะนำที่ดีมากๆ หากเทียบกับสมัยก่อนในยุคที่เงินเก็บมีอัตราดอกเบี้ย 12% โดยประมาณ เราลองคิดง่ายง่ายสมมติเรามีเงิน 1,000,000 บาท เราจะได้ดอกเบี้ย 120,000 บาทต่อปี หรือ 10,000 บาทต่อเดือน รวมกับราคาสินค้า อาหาร เครื่องใช้ แต่ก่อนไม่ได้แพงเหมือนปัจจุบัน คิดง่ายๆคือไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้กินดอกเบี้ยไป

นักลงทุนสามารถสมัครทดลองใช้และทำไปพร้อมกันได้โดย คลิกที่นี่

แค่เงินออมไม่พอ

ปัจจุบันเราไม่สามารถ ตั้งใจทำงานเก็บเงินกินดอกเบี้ย เหมือนในอดีต เพราะเรายิ่งตั้งใจทำงานเก็บเงินแต่ดอกเบี้ยนั้นไม่พอที่จะใช้จ่าย

ตัวอย่าง นำเงินไปฝากธนาคารได้รับดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เมื่อเราได้ดอกเบี้ยแล้ว เราต้องนำมาใช้จ่ายในสินค้าที่แพงขึ้นนั่นก็คือเงินเฟ้อมากถึง 2% ทำให้เราได้รับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงคือ -0.5% นั่นหมายถึง ยิ่งเรานำเงินไปฝากธนาคารเราก็จะยิ่งไม่พอใช้จ่ายเพราะอัตราเงินเฟ้อสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยนั่นเอง

สร้างนิสัยการออม

การเริ่มต้นลงทุนเป็นการสร้างนิสัยในการออมเงินและต่อยอดเงินให้เกิดประโยชน์ให้ถูกที่ นักลงทุนหลายคนไม่กล้าเริ่มต้นแม้กระทั่งการลงทุนเล็กๆน้อยๆเพราะรู้สึกว่ามันยากและต้องใช้เงินในจำนวนมาก แท้ที่จริงแล้วนักลงทุน สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

– สามารถเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการลงทุนได้ด้วยเงินแค่หลักหน่วย หรือ หลักสิบ เนื่องจากปัจจุบันการลงทุนในกองทุนไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน เป็นทางเลือกที่ดีหากเราจะเริ่มลงทุน ในช่วงแรก

– หากเราเริ่มมาสู่โลกของการลงทุนแล้ว การสร้างนิสัยในการออมก็เป็นเรื่องสำคัญ แผนการลงทุนที่แนะนำนั่นก็คือการทำ DCA นั่นก็คือ การลงทุนเป็นประจำอย่างสม่ำเสมออย่างเช่นการกำหนดวันในการลงทุนว่าทุกวันที่ 1 ของเดือนเราจะลงทุนเดือนละ 200 บาท

– หากเรามี มีนิสัยรักการออมแล้ว สิ่งที่เราควรทำใน Step ถัดไปคือการแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้นยกตัวอย่างเช่น ตราสารทุนเป็นการต่อยอดให้เงินทำงาน เพื่อเป้าหมายในอนาคต

เริ่มช้า ขาดทุนเสียเวลา

หากเราเริ่มต้นลงทุนช้าจะทำให้เราขาดทุนเวลา ? จากภาพตัวอย่าง กำหนดให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี

– นักลงทุนจะเห็นว่า นาย E เริ่มต้นลงทุนปีละ 3,000 บาท เมื่อตอนอายุ 15 ปี ติดต่อกัน 5 ปีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น = 15,000 บาท เมื่ออายุ 65 ปี นาย E มีเงินทั้งสิ้น 1,615,363 บาท

– นาย F เก็บเงินปีละ 3,000 บาทเช่นกัน แต่เริ่มเก็บตอนอายุ 19 ปีติดต่อกัน 8 ปี เป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น = 24,000 บาทเมื่ออายุ 65 ปี นาย F มีเงินทั้งสิ้น 1,552,739 บาท

– นาย N เก็บเงินปีละ 3,000 บาทเช่นกันเริ่มเก็บตอนอายุ 27 ปีติดต่อกันเป็นเวลา 39 ปีจนถึงอายุ 65 เงินลงทุนทั้งสิ้น 117,000 บาท เมื่ออายุ 65 ปีมีเงินเก็บ 1,324,777 บาท

นักลงทุนจะเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เหมือนกันคือจำนวนเงินที่เริ่มต้นลงทุนคือ 3,000 บาทต่อปีเช่นกัน สิ่งที่แตกต่างกันคือการเริ่มต้นเร็วและช้า นาย E มีเงินมากสุดในขณะที่ลงทุนน้อย
สุดสิ่งที่แตกต่างคือ การเริ่มต้นเร็วกว่าเท่านั้นเอง

เป้าหมายในอนาคต

การลงทุนเพื่อวางเป้าหมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเกษียณ วางแผนซื้อบ้านวางแผนการศึกษา ลูกวางแผนแต่งงาน วางแผนเที่ยวหรืออื่นๆ เรามีการวางแผนหรือออมไว้ล่วงหน้าจะทำให้เราไม่ต้องเดือดร้อนจนทำให้เงินในปัจจุบันขาดสภาพคล่อง